กรุงเทพฯ – วานนี้ (15 มีนาคม 2564) ศาลอาญาได้นัดพร้อมในคดีการชุมนุม “19 กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร” ที่มีการชุมนุมที่ท้องสนามหลวงระหว่างวันที่ 19-20 กันยายน 2563 การชุมนุมดังกล่าวมีสมาชิกกลุ่มราษฎรถูกฟ้องทั้งหมด 22 คน ในจำนวนนี้มี 8 คนที่ถูกฟ้องตามประมวลกฎหมายมาตรา 112 และทนายได้เบิกตัวจำเลยมา 9 คน ได้แก่ อานนท์ นำภา, ปฏิวัฒน์ ส่าหร่ายแย้ม หรือ หมอลำแบงค์, จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ ไผ่ ดาวดิน,พริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน, สมยศ พฤกษาเกษมสุข,ภาณุพงศ์ จาดนอก หรือ ไมค์, ไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ หรือแอมมี่ และปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง 

ระหว่างพิจารณาคดีที่ศาลอาญารัชดา พริษฐ์ ได้ขออนุญาตอ่านคำแถลงต่อศาลถึงความอึดอัดที่ไม่ได้รับสิทธิการประกันตัว หลังจากถูกฝากขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยให้เหตุผลว่า คดีมีอัตราโทษสูง หากปล่อยตัวอาจหลบหนี ซึ่งต่อมาเพจเฟซบุ๊กราษฎรได้นำคำแถลงมาเผยแพร่ มีข้อความว่า  

ถึงผู้พิพากษาผู้ทรงเกียรติทุกท่าน

ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เป็นกฎหมายที่โหดร้ายป่าเถื่อนและล้าหลัง ไม่เป็นที่ยอมรับจากนานาชาติ และยังแต่ความเสื่อมเสียให้แก่ประเทศชาติและสถาบันกษัตริย์ในสายตาประชาคมโลก กฎหมายมาตราดังกล่าวตีตราให้การวิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์เป็นความผิด แม้ว่าข้อความวิพากษ์วิจารณ์นั้นจะพิสูจน์ได้ว่าเป็นความจริงก็ยังเป็นความผิด และยังมีบทลงโทษรุนแรง จำคุกได้สูงสุดถึง 15 ปี นับเป็นกฎหมายที่ฝืนต่อกฎแห่งธรรมชาติทั้งปวง เป็นการยกสถาบันกษัตริย์ให้เป็นเทวดา กระทำสิ่งใดก็ไม่ผิด พร้อมทั้งกดประชาชนลงเป็นไพร่ทาส ไม่มีสิทธิไม่มีเสียงจะพูดเพื่อความเป็นธรรมของตน แม้จะเห็นเทวดาสูบเลือดสูบเนื้อตนต่อหน้าก็ตาม และยังถือเป็นการบีบความคิดและทรมานสิทธิเสรีภาพของคนไทยอย่างทารุณ ไม่ต่างกับการตอกเล็บบีบขมับ ซึ่งเป็นวิธีการลงทัณฑ์ผู้เห็นต่างทางการเมืองในยุคโบราณ

ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ยังเป็นมะเร็งร้ายที่กัดกินประชาธิปไตยไทยมาโดยตลอด ในช่วงทศวรรษแห่งความขัดแย้งทางการเมืองที่ผ่านมา มาตรา 112 ถูกใช้เป็นอาวุธทิ่มแทงทำร้ายฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองมานับครั้งไม่ถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลัง พ.ศ. 2557 ซึ่งเป็นปีที่เผด็จการประยุทธ์ จันทร์โอชาอ้างเหตุแห่งการปกป้องสถาบันกษัตริย์ก่อรัฐประหารล้มล้างรัฐบาลประชาธิปไตย มีผู้คนหลายร้อยคนที่รักชาติ หวงแหนประชาธิปไตย และไม่ยอมจำนนต่ออำนาจเผด็จการ และยังถูกศาลจองจำในนามสถาบันกษัตริย์ และถูกปฏิเสธสิทธิในการประกันตัวไปสู้คดี ทั้งที่ยังไม่ถูกพิพากษาให้มีความผิดตามข้อหาใดๆ

พริษฐ์ ชีวารักษ์ หรือ เพนกวิน ขณะอ่านคำประกาศคณะราษฎร 2563 ที่สนามหลวง เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2563

ข้าพเจ้าขอตั้งคำถามต่อท่านผู้พิพากษาผู้ทรงเกียรติว่า ในเมื่อสถาบันตุลาการมีหน้าที่ระงับความขัดแย้งโดยการอำนวยความยุติธรรมให้ประชาชน เพราะเหตุใด ท่านจึงสร้างความขัดแย้งโดยการร่วมกับเผด็จการปล้นความยุติธรรมไปจากมือประชาชน และในเมื่อศาลสถิตยุติธรรม เป็นสถานที่แห่งความจริงที่จะต้องนำความจริงมาพิสูจน์ เหตุใดท่านจึงจองจำความจริงไว้ ไม่ให้ความจริงได้ประกันตัวออกไปพิสูจน์ตนเอง หรือพวกท่านจะเกลียดชังและหวาดกลัวความจริงจนต้องรีบนำความจริงไปคุมขังไว้ให้เกิดความทรมาน และหวังว่าความทุกข์ทรมานนั้นจะสามารถบดขยี้ความจริงให้แหลกสลายไปได้

แต่ความจริงย่อมเป็นความจริง ไม่ว่าจะอยู่ในกรงขัง ในเครื่องทรมาน หรือที่หลักประหาร ความจริงก็ยังคงเป็นความจริง ไม่ว่าท่านจะจับข้าพเจ้าไปคุมขังให้เกิดความทุกข์ทรมานมากเพียงใด ความทุกข์ทรมานนั้นก็ไม่อาจทำลายความจริงได้ ข้าพเจ้าจึงยินดีที่จะรับความทุกข์ทรมานที่พวกท่านจะยัดเยียดให้ และจะยังขอทรมานตนเองเพิ่มด้วย ดังนั้น นับแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าพเจ้าจะขออดอาหาร ประทังชีพด้วยน้ำ น้ำหวาน และนมเท่านั้น ไปจนกว่าท่านจะคืนสู่สามัญสำนึกโดยการคืนสิทธิประกันตัวสู้คดีให้กับข้าพเจ้า ให้กับผู้กล่าวหาคดีมาตรา 112 และให้กับผู้ถูกกล่าวหาทางการเมืองทุกคน หรือจนกว่าชีวิตของข้าพเจ้าจะหาไม่

ข้าพเจ้าไม่ได้มีเจตนาจะปลิดชีวิตของตน แต่จะขอทรมานตนเอง เพื่อให้ความทรมานที่เกิดกับข้าพเจ้าเป็นประจักษ์พยานแห่งความอยุติธรรมที่เกิดขึ้น เป็นประกายไฟสะกิดมโนสำนึกของพวกท่านและเป็นข้อพิสูจน์ว่า ความจริงไม่เกรงกลัวต่อความทุกข์ทรมานใดๆ หากข้าพเจ้าต้องสละชีวิตลง ข้าพเจ้าก็ยินดีสละ เพื่อวันหนึ่งประเทศของเราจะไม่มีกฎหมายมาตรา 112  ไม่มีใครต้องตกเป็นนักโทษทางการเมือง และ 3 ข้อเรียกร้องจะบรรลุเป็นจริง ประเทศไทยจะได้เป็นของคนไทยทุกคนอย่างเสมอภาคโดยสมบูรณ์

อ่านข้อมูลเพิ่มเติม

“เพนกวิน” ตอกย้ำข้อเสนอ 10 ประการ ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์บนเวทีขอนแก่นพอกันที

เสียงจากแม่ “เพนกวิน” ถึงลูกชายในเรือนจำ

image_pdfimage_print