จดหมายจากคนอีสานถึงรัฐบาลและคนกรุงเทพฯ ที่สะท้อนออกมาจากความรู้สึกที่ต้องเจอกับความเหลื่อมล้ำในการจัดการวัคซีนอย่างไม่เป็นธรรม นับวันกรุงเทพฯ ซึ่งถูกเรียกว่า “เมืองหลวง” ยิ่งจะสูบทรัพยากรเกือบทุกอย่างจากคนต่างจังหวัดไปเกือบหมด การระบาดของโควิด-19 จึงทำให้เห็นสังคมแบบมือใครยาวสาวได้สาวเอามากขึ้น
โดย The Isaan Record
แคนาดาเป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมอย่างเต็มที่ และมีค่านิยมสนับสนุนความเสมอภาค ความเป็นอันหนึ่งเดียวกัน เมื่อประสบปัญหาการขาดแคลนวัคซีน รัฐบาลแคนาดาตัดสินใจว่า ทางออกที่ดีที่สุด คือ ต้องพยายามทำให้คนหมู่มากมีภูมิคุ้มกันเพื่อป้องกันโรคโควิด-19 ขึ้นมาบ้าง ด้วยการฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็มเดียวแทนที่จะเป็นสองเข็ม
จัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดา เพิ่งจะได้รับวัคซีนเข็มที่สองเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ต่างจากผู้นำในอีกหลายๆ ประเทศ ไม่ว่าจะเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ก็ตาม แคนาดาพยายามทำให้คนได้รับวัคซีนอย่างน้อยหนึ่งเข็มเท่าที่จะทำได้ โดยเริ่มจากกลุ่มผู้มีความเสี่ยงสูงมากที่สุด ทำให้ในขณะนี้มีประชากรแคนาดาได้รับวัคซีนมากถึง 69.4% ถือเป็นอัตราที่สูงที่สุดในหมู่ประเทศพัฒนาแล้ว และผู้นำของแคนาดาก็รอคิวรับวัคซีนของเขาไม่ต่างจากประชาชนทั่วไป
ช่วงเวลาเช่นนี้ มีการพูดกันอย่างแพร่หลายว่า การระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ปัญหาความเหลื่อมล้ำที่ปรากฎอยู่แล้วทั่วทุกมุมโลกทวีความรุนแรงมากขึ้นในช่วงเวลาปีครึ่งที่ผ่านมา
แต่รัฐบาลไทยสมควรจะพูดถึงนโยบายการกระจายวัคซีน นอกเหนือจากการอวดอ้างสรรพคุณวัคซีน (และการซื้อวัคซีน) ที่ไม่ค่อยมีใครเชื่อถือ นอกจากนี้รัฐบาลยังได้ดำเนินนโยบาย “กรุงเทพฯ ต้องมาก่อน” อย่างเปิดเผย ซึ่งสะท้อนถึงการรวมศูนย์มากเกินไปอย่างเบ็ดเสร็จและเป็นธรรมชาติของประเทศไทย บรรดาโฆษกฯ ล้วนมีเหตุผลมาอธิบายรองรับการตัดสินใจของรัฐบาล แต่ผลลัพธ์ก็ออกมาเป็นเช่นเดิมทุกครั้ง กล่าวคือ กรุงเทพฯ ต้องได้รับการจัดสรรก่อน ทั้งที่กรุงเทพฯ มีประชากรอยู่ราว 11% ของจำนวนประชากรในประเทศ แต่ได้รับการจัดสรรวัคซีนเข็มแรกไปแล้วถึง 34% คิดคำนวณตามสัดส่วนแล้ว ภาคอีสานได้รับการจัดสรรวัคซีนเพียงหนึ่งเข็มจากทุกๆ หกเข็มที่กรุงเทพฯ ได้รับ
เริ่มต้นได้สวย
อันที่จริงแล้ว ประเทศไทยเริ่มต้นรับมือกับการระบาดได้ค่อนข้างดี รัฐบาลเอาจริงเอาจังกับมาตรการกักตัว ตรวจหาผู้ติดเชื้อรายใหม่และออกมาตรการควบคุมที่เข้มงวดทันทีที่จำเป็น ในขณะที่อัตราการติดเชื้อยังต่ำอยู่ รัฐบาลก็เริ่มฝันหวานว่า ประเทศไทยจะเป็นแหล่งหลบโรคระบาดสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติต่อไปได้
หลังจากแคล้วคลาดจากการระบาดระลอกแรกและระลอกสองไปได้ รัฐบาลก็ออกแผน “แซนด์บ็อกซ์” เพื่อโฆษณาดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามายังแหล่งท่องเที่ยวในภาคใต้ที่ปลอดจากโรคโควิด ในขณะที่โลกกำลังทุกข์ระทม ประเทศไทยจะเป็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ เป็นสวรรค์แห่งชายหาด สายลมและแสงแดดสำหรับชาวต่างชาติ ประเทศไทยจะกลับมาอย่างยิ่งใหญ่
ทุกอย่างดูจะไปได้สวย ไม่มีความร้อนรนใจ เมื่อถึงช่วงต้นเดือนเมษายน เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลก็ปกป้องตัวเองก่อนตามคาด ด้วยการเริ่มฉีดแอสตราเซเนกาที่จะเข้ามาเป็นวัคซีนหลักของประเทศ ในขณะที่ประชากรที่เหลือต้องเสี่ยงโยนหัวก้อยเอากับซิโนแวค ประชากรกลุ่มแรกที่ได้รับวัคซีน คือ บุคลากรทางการแพทย์คิดเป็น 42% ของผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้ว จากนั้นเป็นเจ้าหน้าที่ด่านหน้าของรัฐบาลซึ่งมีสัดส่วน 11% และอีก 7% ในกลุ่มสุดท้ายที่เหมือนถูกลืม คือ ผู้สูงอายุและผู้มีโรคประจำตัวเรื้อรัง
ในขณะที่ผู้สูงอายุและผู้มีโรคประจำตัวถูกมองข้าม ประชากรอีกกลุ่มที่ได้รับวัคซีนก่อนใครเพื่อน ได้แก่ ผู้ที่อาศัยอยู่ใน “พื้นที่เสี่ยง” ซึ่งมีจำนวนถึง 35% ของผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้ว
ใครคือผู้ที่มีความเสี่ยงและพื้นที่เสี่ยง คือ ที่ใดกันแน่ แน่นอนว่า คำตอบคือ กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นมีจำนวนผู้ติดเชื้อมากที่สุด จึงเป็นที่มาของเหตุผลว่าทำไมกรุงเทพฯ (รวมถึงปริมณฑล) จึงควรได้รับการจัดสรรวัคซีนก่อน หลังจากนั้นมีการนิยามประชาชนที่อาศัยอยู่ใน “พื้นที่เสี่ยง” ออกมาอีกหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นบุคลากรด่านหน้าในพื้นที่ระบาดหนักหรือผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ตามแผนการฟื้นฟูการท่องเที่ยว และอื่นๆ ตามแต่จะคาดเดา
แต่เป้าหมายสำคัญของการฉีดวัคซีน คือ อะไร เป็นการควบคุมโรคในพื้นที่ที่มีการระบาดหนักหรือการพยายามขับเคลื่อนสังคมในช่วงเวลาอีกหลายเดือนข้างหน้าให้ไปสู่การเกิดภูมิคุ้มกันหมู่กันแน่
หน่วยงานสาธารณสุขในประเทศอื่นๆ ทั่วโลกเริ่มออกมาเตือนในช่วงเดือนเมษายนว่า การฉีดวัคซีนนั้นไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อหยุดการระบาดของโรค อย่างที่ทุกคนได้ยินกันมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าในช่วงเวลาที่ผ่านมา การหยุดโรคระบาดที่ได้ผลดีที่สุด คือ การตรวจเชิงรุกหาผู้ติดเชื้อ การแยกกักกัน การล็อกดาวน์ระยะสั้น การใส่หน้ากาก และการเว้นระยะห่าง ไม่ใช่การฉีดวัคซีนแต่อย่างใด
ระลอกสามถาโถมไทย
แม้จำนวนของผู้ติดเชื้อจะเพิ่มสูงขึ้นในช่วงต้นเดือนเมษายน รัฐบาลก็ยังคงเดินหน้าตามแผน “แซนด์บ็อกซ์” เพื่อฟื้นฟูการท่องเที่ยวต่อไป เมื่อถึงเดือนพฤษภาคม ผลลัพธ์ของการจัดลำดับความสำคัญที่ผิดพลาดก็เป็นที่กระจ่าง เมื่อมีประชากรเพียง 2% ของประเทศเท่านั้นที่ได้รับวัคซีนอย่างน้อยหนึ่งเข็ม
การจัดสรรวัคซีนของไทยขาดความสมดุลย์อย่างเห็นได้ชัด อีสานเป็นภูมิภาคที่มีอัตราการฉีดวัคซีนต่ำที่สุดในประเทศ โดยจังหวัดที่มีอัตราต่ำที่สุด คือ กาฬสินธุ์ (0.42%) ศรีสะเกษ (0.57%) และร้อยเอ็ด (0.62%) ไม่เพียงเท่านั้น จังหวัดในภาคอื่นๆ ก็ถูกมองข้ามเช่นเดียวกัน อย่าง พะเยามีอัตราฉีดวัคซีนเพียง 0.63% ขณะกำแพงเพชรอยู่ที่ 0.64%
ขณะเดียวกันหลายจังหวัดกลับได้รับวัคซีนมากมายอย่างไม่สมเหตุสมผลกับอัตราส่วนของจำนวนประชากร สืบเนื่องจากแผนการฟื้นฟูการท่องเที่ยว ภูเก็ตจึงกลายเป็นจังหวัดหนึ่งที่มีอัตราการฉีดวัคซีนสูงที่สุด โดยมีประชากรถึง 24.41% ที่ได้รับวัคซีนแล้วอย่างน้อยหนึ่งเข็ม อัตราการฉีดที่ระนอง (8%) และตาก (7%) ก็ถือเป็นตัวเลขที่สูงมาก ส่วนจังหวัดขนาดเล็กแห่งอื่นๆ ในแผนการแซนด์บ็อกซ์อย่างเช่นสุราษฎร์ธานี (3.42%) พังงา (2.78%) และชลบุรี (2.63%) ก็ได้รับการจัดสรรในปริมาณที่ไม่เลวนัก แต่พื้นที่ที่ประชากรได้รับสัดส่วนวัคซีนสูงที่สุดแน่นอนว่าคือกรุงเทพ (6.1%) และปริมณฑลอย่างสมุทรปราการ (25.04%) นนทบุรี (3.82%) และสมุทรสงคราม (2.82%) คิดเป็นจำนวนถึงเกือบ 40% ของการฉีดวัคซีนทั้งหมดของประเทศ
อย่างไรก็ตามพื้นที่กรุงเทพฯ เองก็มีความเหลื่อมล้ำปรากฏให้เห็นอยู่ทั่วไป เจ้าหน้าที่รัฐบาลระดับสูงถูกเปิดโปงว่า ละเมิดมาตรการควบคุมการระบาดอย่างหน้าตาเฉยด้วยการไปสังสรรค์ในไนท์คลับจนก่อให้เกิดกลุ่มก้อนระบาดใหม่ขึ้นมา การกักตัวที่บ้านเป็นเรื่องง่ายสำหรับคนรวย แต่เป็นสิ่งที่แทบเป็นไปไม่ได้สำหรับคนจนในพื้นที่แออัดของกรุงเทพฯ ที่หลายคนต้องอาศัยรวมอยู่ในห้องเดียวกัน คนรวยเริ่มจ่ายเงินซื้อคิวจองวัคซีนจากคนจน หรือแม้แต่ลงทุนบินไปต่างประเทศเพื่อฉีดวัคซีน คนหลายต่อหลายกลุ่มเริ่มได้รับวัคซีนมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นดารานักแสดง พนักงานบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ หรือสื่อมวลชน
ปักหมุดความสำคัญที่กรุงเทพฯ
เมื่อเดือนมิถุนายน ความหวังในการเปิดประเทศอย่างยิ่งใหญ่ของไทยเริ่มริบหรี่ลงเรื่อยๆ เมื่ออัตราการติดเชื้อทะยานสูงลิ่ว ร่วมกับการมาถึงของไวรัสสายพันธุ์เดลตาที่สามารถแพร่ระบาดได้รวดเร็วขึ้น ชนชั้นปกครองทอยลูกเต๋าอีกครั้ง และเช่นเดิม คำตอบคือกรุงเทพต้องมาก่อน (เพื่อปกป้องแผนแซนด์บ็อกซ์)
หลังจากนั้นไม่นาน ผู้คนทั่วไปเริ่มโพสต์รูปลงโซเชียลมีเดียว่า พวกเขาได้รับวัคซีนแล้ว ไม่ใช่เพียงแค่ดารา นักแสดง เท่านั้น แต่เป็นทุกคนที่มีเส้นสาย ช่างน่ามหัศจรรย์ที่ในเวลาเพียง 3 สัปดาห์กว่าๆ อัตราการฉีดวัคซีนเข็มแรกในกรุงเทพฯ พุ่งขึ้นจาก 19.5% เป็น 39% และเข็มสองเพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าเป็น 11.5% ในกลุ่มจังหวัดปริมณฑล อัตราการฉีดเข็มแรกเพิ่มจาก 15.5% เป็น 28.7% และเข็มสองจาก 4.7% เป็น 8.9%
ไทยและแคนาดาตกอยู่ในสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกัน กล่าวคือไม่สามารถหาวัคซีนมาได้อย่างเพียงพอกับจำนวนประชากร รัฐบาลแคนาดาตัดสินใจเลือกทางที่ปลอดภัยไว้ก่อน และกระจายวัคซีนออกไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หากประเทศไทยเดินตามแนวทางเดียวกันด้วยกระจายฉีดวัคซีนจำนวน 12 ล้านโดสที่นำเข้ามาได้เพียงเข็มเดียวต่อคนไปก่อน รัฐบาลก็คงพอจะได้รับเสียงชื่นชมบ้างทั้งจากในและนอกประเทศ เพราะนั่นเป็นจำนวนที่เพียงพอจะฉีดให้ได้มากถึง 64% ของประชากรกลุ่มเสี่ยงอันประกอบไปด้วยบุคลากรทางการแพทย์ 712,000 คน ผู้สูงอายุ 12.5 ล้านคน และกลุ่มผู้มีโรคประจำตัวเสี่ยงสูงอีก 5.4 ล้านคน หรือถึงแม้จะยังยืนยันกันจำนวนสองเข็มให้สำหรับหนึ่งคน ไทยก็จะสามารถเพิ่มอัตราการฉีดได้สูงขึ้นอีกมากหากเน้นระดมฉีดให้เฉพาะกลุ่มนี้อย่างแท้จริง
ในความเป็นจริง รัฐบาลกลับเลือกวิธีการที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ผู้สูงอายุและผู้มีโรคประจำตัวกลับไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายที่ได้รับการฉีดวัคซีนก่อนในทางปฏิบัติ มีผู้สูงอายุเพียง 6.8% และผู้มีโรคประจำตัวเพียง 8.4% เท่านั้นที่ได้รับวัคซีนหนึ่งเข็ม ในขณะที่มีบุคลากรทางการแพทย์ถึง 102% และเจ้าหน้าที่ด่านหน้า 27% ที่ได้รับวัคซีนเข็มแรก ส่วนเหล่าอภิสิทธิ์ชนจากกลุ่มประชาชนทั่วไปได้รับไปแล้วถึง 2.8 ล้านเข็ม หรือมากถึง 7.6%
จะเท่าเทียมอย่างไร เมื่อกรุงเทพฯ ต้องมาก่อน
รัฐบาลไทยมุ่งดำเนินนโยบาย “กรุงเทพฯ ต้องมาก่อน” อย่างเต็มสูบ ภาพรวมของการจัดสรรและกระจายวัคซีนทั่วทั้งประเทศไทยเป็นเพียงภาพสะท้อนเล็กๆ ของความเหลื่อมล้ำมหาศาลที่แฝงฝังอยู่ในแผ่นดินนี้
แน่นอนว่าใครๆ ก็กลัวที่จะติดโรค เมื่อระบบลงทะเบียนฉีดวัคซีนเต็มไปด้วยปัญหา คิวนัดรับวัคซีนถูกเลื่อนหรือยกเลิกไร้กำหนด อีกทั้งรัฐบาลก็ขยับในการสั่งจองวัคซีนช้าเกินเหตุ ก็ไม่น่าแปลกใจว่า เหตุใดผู้คนจึงตะเกียกตะกายทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตนเองได้รับวัคซีนก่อน ประหนึ่งกลายเป็นโต๊ะบุฟเฟต์ที่ใครมือยาวสาวได้สาวเอา
ปัญหา คือ ทุกๆ เข็มที่ถูกนำไปฉีดให้กับคนที่ไม่ยอมรอคิวฉีดของตัวเองตามความเหมาะสม คือ การแย่งชิงเอาไปจากจำนวนที่ผู้สูงอายุหรือผู้มีโรคประจำตัวควรจะได้รับ แม้แต่ในเชิงทฤษฎีก็ตาม
ปัญหาใหญ่ไม่แพ้กัน คือ อัตราส่วนวัคซีนจำนวนมหาศาลที่ถูกทุ่มลงไปให้กับกรุงเทพฯ และจังหวัดปริมณฑล (รวมถึงจังหวัดในแผนแซนด์บ็อกซ์) เป็นเพียงผลพวงล่าสุดของแผน “พัฒนา” อายุหลายร้อยปีที่ให้อภิสิทธิ์แก่พระนครรวมถึงราษฎรในมณฑลรายล้อมและในสถานการณ์เช่นนี้อาจสร้างความสูญเสียถึงแก่ชีวิตในพื้นที่ที่ถูกละเลย ทั้งที่ปริมณฑลและกรุงเทพฯ มีสัดส่วนประชากร 21% ของประเทศ แต่กลับมีอัตราฉีดวัคซีนเข็มแรกสูงเกือบครึ่งหนึ่ง คำนวณดูแล้วคิดเป็นสัดส่วนถึง 235% ต่ออัตราประชากร ในขณะที่ภาคอีสานได้รับวัคซีนเพียง 48% ต่ออัตราส่วนประชากรเท่านั้น พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ กรุงเทพและปริมณฑลได้รับวัคซีนมากกว่าอีสานถึง 4.9 เท่า หากตัดปริมณฑลออกแล้ว กรุงเทพก็ยังได้รับวัคซีนเข็มแรกมากกว่าอีสาน 6.5 เท่า
ขณะที่ภาคอื่นๆ ของประเทศก็ได้รับการจัดสรรในสัดส่วนที่ต่ำเตี้ยไม่แพ้กัน ภาคเหนือได้รับวัคซีนเข็มแรกแล้วเพียง 58% ภาคกลางได้รับ 65% และภาคใต้ตอนล่าง 63% แต่ในทางกลับกัน ภาคใต้ตอนบนกลับมีอัตราฉีดวัคซีนเข็มแรกต่ออัตราส่วนประชากรถึง 154% และเข็มสองถึง 229%
สิ่งเดียวที่กรุงเทพฯ ยอมประนีประนอมให้ก็ คือ แผนการฟื้นฟูการท่องเที่ยวในภาคใต้ที่ดูไปแล้วก็ไม่ถือว่า ประสบความสำเร็จมากนัก ภูเก็ตได้รับวัคซีนเข็มแรกมากกว่ากรุงเทพ 1.8 เท่า และเข็มสองมากกว่าถึง 5 เท่า และที่วิปลาสยิ่งไปกว่านั้น เพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศแล้ว ภูเก็ตได้วัคซีนเข็มแรกมากกว่าอีสานถึง 12 เท่า และเข็มสองถึง 21 เท่า
ประเทศไทยไม่มีปัญหาความลังเลต่อการฉีดวัคซีน แต่มีปัญหาขาดแคลนวัคซีน ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ การโพสต์รูปสวยอวดใครต่อใครว่า ได้รับวัคซีนแล้วดูจะเป็นเรื่องผิดกาละเทศะไม่ใช่น้อย ขณะที่ยังมีคนอีกเป็นจำนวนมากที่พร้อมจะฉีดทันทีที่พวกเขามีโอกาส แต่สิ่งที่พวกเขาขาดคือ “เส้นสาย”
หนังสือเกี่ยวกับกรุงเทพฯ ที่เพิ่งตีพิมพ์เมื่อไม่นานมานี้เขียนว่า คนกรุงเทพฯ รู้สึกว่า คนไทยทุกคนเท่าเทียมกัน แต่คนไทยทุกคนเท่าเทียมกันจริงหรือ ในเมื่อรัฐบาลทุ่มสรรพทรัพยากรส่วนมากลงมาให้กับกรุงเทพเท่านั้น นครที่มีโรงเรียนที่ดีที่สุด ระบบคมนาคมขนส่งที่ดีที่สุด จะว่าไปแล้ว ก็ดีที่สุดทุกอย่างนั่นแหละ ระบบที่วางเอาไว้ในปัจจุบันไม่ใช่ระบบที่มีความเท่าเทียมแม้แต่น้อย และคนไทยทุกคนควรจะรู้สึกกังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้น ในช่วงเวลาของความเป็นความตายเช่นนี้ สมควรแก่เวลาแล้วที่จะต้องมีการถกประเด็นการกระจายวัคซีนให้เท่าเทียมและทั่วถึงอย่างจริงจัง
บริการทางสาธารณสุขถือเป็นสิทธิ ไม่ใช่อภิสิทธิ์ สำหรับบุคคลที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพแล้ว การยืนยันว่า ตนเองสมควรจะได้รับวัคซีนเดี๋ยวนี้นั้น ก็ไม่ต่างกับการอวดอ้างว่า ตนเองมีอภิสิทธิ์ที่จะได้รับวัคซีนเหนือกว่าคนไทยคนอื่นๆ
เพื่อดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามา เพื่ออุ้มชูบรรดาธุรกิจในกรุงเทพฯ และเพื่อจัดการกับความหวาดวิตกของประชาชนในเมืองหลวง รัฐบาลได้ประกาศออกมาแล้วว่า ชีวิตอื่นๆ นั้นด้อยค่ากว่ากลุ่มเป้าหมายของรัฐบาลมีเพียงชาวกรุงเทพฯ ศูนย์กลางแห่งจักรวาลทั้งปวง รัฐบาลชุดนี้เข้ามาถือครองอำนาจได้ก็เพราะความชอบธรรมที่ชาวกรุงเทพมอบให้ จึงไม่มีเหตุผลใดที่รัฐบาลจะต้องสนใจว่าประชากรที่อาศัยอยู่นอกเมืองหลวงกำลังใช้ชีวิตกันเช่นไร
ณ วันที่ 16 พฤษภาคม วัคซีน 2.8 ล้านเข็มแรกถูกฉีดให้กับประชาชนในพื้นที่เสี่ยง และอีก 540,000 เข็มให้กับประชาชนทั่วไป แซงหน้ากลุ่มผู้สูงอายุและผู้มีโรคประจำตัว สมควรหรือไม่ที่รัฐบาลจะต้องออกมาอธิบายว่า เหตุใดคนกลุ่มนี้จึงสามารถมาเบียดบังเอาวัคซีนจากกลุ่มผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพมากกว่าไปได้
เมื่อไม่นานมานี้ บรรดาแพทย์เริ่มพูดคุยกันว่า พวกเขาควรจะได้รับวัคซีนกระตุ้นภูมิเข็มที่ 3 ก่อน เป็นการป้องกันเอาไว้ บางกอกโพสต์รายงานว่า รัฐบาลญี่ปุ่นบริจาควัคซีนจำนวน 1 ล้านโดสให้กับประเทศไทย และเสริมว่า “วัคซีนแอสตราเซเนกาที่ได้รับบริจาคมา 1 ล้านโดสจะนำไปเน้นปูพรมฉีดในกรุงเทพฯ”
พอเถอะ พอเสียที
ถึงเวลาแล้วที่ประชากรไทยทุกคน (รวมถึงชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในไทย) จะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันและวัคซีนควรถูกเร่งจัดสรรให้ถึงกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงมากที่สุด อันได้แก่ ผู้สูงอายุและผู้มีโรคประจำตัวทั่วทั้งประเทศ ไม่ใช่เฉพาะในกรุงเทพฯ ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลไทยจะต้องจัดลำดับความสำคัญใหม่
ถึงชาวกรุงเทพฯ : ขอให้ล็อกดาวน์อยู่กับที่เพื่อตัวคุณเองและคนอื่นจะได้ปลอดภัย นี่ไม่ใช่เวลาที่จะเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ รอจนกว่าวิกฤตโรคระบาดนี้จะบรรเทาลง ไม่ต้องมาเยี่ยมเรา แต่ควรส่งวัคซีนมาให้พวกเราบ้าง
อ่านฉบับภาษาอังกฤษได้ที่นี่ Letter to Bangkok: Thailand’s inequality puts millions at risk